วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

อนุสาวรีย์นาวิกโยธิน สัตหีบ

ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2528 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และพระนางเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายา ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิด อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน ณ อ่าวนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
อนุสาวรีย์ ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2527 ลักษณะของอนุสาวรีย์เป็นรูปหกเหลี่ยม มีความหมายถึงทหารนาวิกโยธิน ผู้เสียสละชีวิตทั้งหกเหล่า คือ เหล่าทหารราบ เหล่าทหารปืนใหญ่ เหล่าทหารช่าง เหล่าทหารสื่อสาร เหล่าทหารขนส่ง และทหาร ลาดตระเวน ซึ่งเปรียบเสมือนทหารเหล่าพิเศษ รอบอนุสาวรีย์ ฯ ได้จารึกชื่อผู้เสียชีวิตจากการรบจนถึงปัจจุบัน สามารถจารึกชื่อได้ 297 นาย อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้ใช้เงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 8 ล้านบาทเศษ โดยไม่ได้ใช้เงินงบประมาณทางราชการ ค่าใช้จ่าย ทั้งหมดได้จากทหารนาวิกโยธิน และพ่อค้าประชาชนที่มีจิตศรัทธาบริจาคให้ สำหรับงานก่อสร้าง ทหารนาวิกโยธินเป็นผู้ดำเนินการ เองเป็นส่วนใหญ่ เว้นงานที่ต้องใช้ฝีมือ และความสามารถพิเศษเฉพาะเท่านั้น
สำหรับด้านหน้าของอนุสาวรีย์ ฯ ที่เด่นเป็นสง่าอยู่นั้น ได้สลักโน๊ต และเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ มาร์ชราชนาวิกโยธินสำหรับโน๊ต เพลงนี้ได้ทรงพระราชทานให้แก่ทหารนาวิกโยธินเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2502 ทหารนาวิกโยธินผู้เสียชีวิต เหล่านี้ได้ยอมเสียสละชีวิต อันหวงแหนของเขาเพื่อให้สมดังเนื้อร้องในเพลงมาร์ชราชนาวิกโยธินตอนหนึ่งซึ่งได้สลักไว้ ณ อนุสาวรีย์แห่งนี้ว่า “…..กาย ใจ ชีวิต มอบเป็นราชพลี……”
โดยลักษณะรูปร่างอนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธินจะเป็นรูป 6 เหลี่ยม ยอดอนุสาวรีย์ฯ เป็นธงราชนาวิกโยธิน ปักอยู่บนอุปกรณ์ประจำกายของทหารนาวิกโยธินที่ใช้ในการยกพลขึ้นบกซึ่งแต่ละด้านก็จะมีความหมายซึ่งผู้เขียนขอยกตัวอย่างแค่สามด้านดังนี้
ด้านหน้าเป็นรูปโน๊ตและเนื้อเพลง ราชนาวิกโยธินที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่ทหารนาวิกโยธิน เมื่อ วันที่ 28 มิถุนายน 2502 ที่ทหารนาวิกโยธินถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเกล้าล้นกระหม่อมเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนฐานเป็นประวัติทหารนาวิกโยธินที่เสียชีวิตในการสู้รบจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ด้านที่สอง(ทางขวามือ) เป็นภาพปั้นของทหารนาวิกโยธิน กำลังยกพลขึ้นบกด้วยยานสะเทินน้ำสะเทินบก LVTP-7 ซึ่งทหารนาวิกโยธินถือเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเหล่าทัพอื่น
ส่วนฐานเป็นรายชื่อผู้เสียชีวิต จารึกไว้บนแผ่นทองเหลืองจำนวนทั้งสิ้น 12 แผ่นๆ ละ 36 นาย
ด้านที่สามทางซ้ายมือเป็นภาพปั้น การปฏิบัติของทหารลาดตระเวน ทำการโดดร่มจากเครื่องบิน พร้อมด้วยแพยาง และอุปกรณ์ในการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก เพื่อสำรวจหาดและทำลายเครื่องกีดขวางก่อนที่จะทำการยกพลขึ้นบกของกำลังส่วนใหญ่

ส่วนฐานเป็นรายชื่อผู้เสียชีวิต บนแผ่นทองเหลืองจำนวนทั้งสิ้น 12 แผ่นๆ ละ 36 นาย



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อนุสาวรีย์ราชนาวี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อนุสาวรีย์ราชนาวี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อนุสาวรีย์ราชนาวี


อ้างอิง https://traveleasterninthailandbypitchayapa.wordpress.com

เทพีเสรีภาพ

เทพีเสรีภาพ-Statue of Liberty เด่นสง่า ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ประติมากรรมโลหะสำริด เทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูประทีป มือซ้ายถือจารึกประกาศอิสรภาพ ตัวอนุสาวรีย์ภายในมีบันไดวน 162 ขั้น ประชาชนชาวฝรั่งเศสมอบเธอเป็นของขวัญแก่อเมริกันชนผู้แสวงหาเสรีภาพ
ย้อนไป ค.ศ.1865 ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส นักวิชาการหัวก้าวหน้าและกลุ่มหนุ่มไฟแรงพบปะสนทนาที่บ้านนายเอดู อาร์ต เดอลา บูลาเยอ ถึงการเมืองเรื่องการปกครองที่ประชาชนขาดเสรีภาพและไม่ได้รับความเสมอภาคจากองค์จักรพรรดินโปเลียนที่ 3
พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าลุกฮือขึ้นสู้กับอังกฤษ และปลดแอกสำเร็จเป็นชาติเอกราชในที่สุด
เสรีภาพที่อเมริกันได้มาจุดประกายความคิดปารีเซียงกลุ่มนั้นที่จะสร้างงานศิลป์ชิ้นหนึ่งให้เป็น ของขวัญในวันอเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี 4 กรกฎาคม 1876
พวกเขารณรงค์หาเงินบริจาคจากประชาชนฝรั่งเศสทั่วประเทศ แล้วให้ปฏิมากรเฟรเดริก ออกุสต์บาร์โธลดี ออกแบบจากมติที่ต้องการให้ของขวัญเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ของสตรีในชุดเครื่องแต่งกายดั่งชาวโรมัน สวมมงกุฎรูปเดือยแหลม 7 แฉก สื่อความหมายถึง 7 ทวีป 7 คาบมหาสมุทร ในท่ายืนชูคบเพลิงด้วยมือขวาให้แสงสว่างแก่เสรีภาพ มือซ้ายถือแผ่นจารึกประกาศอิสรภาพ จารึกอักษร 4 JULY 1876 เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ตรวนขาดสะบั้นสื่อถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส
ส่วนฐานรองรับเทพี เป็นภารกิจของอเมริกัน พวกเขาระดมทุนสร้างเป็นตึกสูง 87 ฟุต ออกแบบโดยสถาปนิก ริชาร์ด มอร์ริส ฮันต์ ในตัวอาคารจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การสร้างอนุสาวรีย์ และการสร้างชาติสหรัฐอเมริกา พิธีเปิดอนุสาวรีย์แด่อิสรภาพของอเมริกัน: เสรีภาพส่องแสงสว่างแก่ชาวโลก(MONUMENT TO AMERICAN INDEPENDENT: LIBERTY ENLIGHTENING THE WORLD) อย่างเป็นทางการโดยประธานาธิบดีโกรฟเวอร์ คลีฟ-แลนด์ มีขึ้นวันที่ 28 ตุลาคม 1886 ปีติยินดีถ้วนหน้าทั้งฝรั่งเศสและอเมริกัน
ข้อมูลจำเพาะของสตรีผู้ยืนเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมบนฐานกว้าง 3 ชั้น ตัวเธอสูง 152 ฟุต แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ภายเทพีโปร่งเป็นโครงเหล็กที่ออกแบบและคำนวณโดย กุสตาฟ ไอเฟล วิศวกรผู้สร้างหอไอเฟล แยกเป็นชิ้นส่วนบรรจุในลังทั้งหมดถึง 214 ลัง ส่งจากฝรั่งเศสนำมาต่อเป็นรูปร่างสูงถึง 302 ฟุต (วัดจากปลายคบไฟถึงปลายเท้า) ใช้แผ่นโลหะทองแดงหรือสำริด 32 ตัน รมสีเขียว ส่วนคบไฟติดตั้งระบบแสงไฟฟ้าสีเขียว 13,250 วัตต์ มีบันไดเวียนให้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์จากส่วนที่เป็นมงกุฎของเทพี รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างสรรค์ดั้งเดิมประมาณ 650,000 ดอลลาร์ ส่วนงบบูรณะครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 1981 เพื่อจัดฉลอง 100 ปีเทพีเสรีภาพในปี 1986 ใช้ไป 86 ล้านดอลลาร์ จากที่ระดมทุนมาได้ 265 ล้านดอลลาร์ (16 ก.ค. 2547)
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่ ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้เป็นของขวัญ แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1876 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1886
เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง มือซ้ายถือถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของหสรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า “JULY IV MDCCLXXVI” หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1876 เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7 แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของเอดูอาร์ด เดอ ลาบูลาเย นักประวัติศาตร์ ชาวฝรั่งเศส เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส ระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน
ออกแบบโดยเฟรเดริค ออกุสต์ บาร์โธลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแฌน แอมมานูแอล วิโอเลย์ เลอ ดุค และอเล็กซองเดรอะ กุสตาฟ แอฟแฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ส่วนฐานอนุสาวรีย์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา
สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ
ในการขนส่งจากฝรั่งเศส มายังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความใหญ่โตของอนุเสาว์รีย์ ทำให้ต้องแยกส่วนแล้วมาประกอบที่อเมริกา มีชิ้นส่วนรวมทั้งหมด 350 ชิ้น และนำมาประกอบขึ้นใหม่โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ส่วนฐาน พบว่ามีการสร้างเสร็จ ในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1886 โดยหมุดตัวสุดท้ายถูกประกอบเสร็จ ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1886
ปี ค.ศ. 1984 องค์การยูเนสโก ประกาศให้อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เป็นมรดกของโลก
ตามปกติแล้ว ประชาชนสามารถขึ้นไปชมวิวบนส่วนหัวมงกุฎของเทพีได้ แต่หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ทางการได้สั่งปิดอนุสาวรีย์ดังกล่าว ล่าสุด มีการเปิดให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปที่เกาะ เพื่อชมความสวยงามของอนุสาวรีย์จากด้านล่างได้ แต่ยังตัวอนุสาวรีย์ยังปิดอยู่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนฐานของอนุสาวรีย์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย

ข้อมูลจำเพาะ
บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมบนฐานกว้าง 3 ชั้น
สูง 152 ฟุต
แขนยาว 42 ฟุต
นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต
เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว
โครงเหล็กแยกเป็นชิ้นส่วนรวม 214 ลัง
    ส่งจากฝรั่งเศสนำมาต่อเป็นรูปร่างสูง 302 ฟุต (วัดจากปลายคบไฟถึงปลายเท้า)
ใช้แผ่นโลหะทองแดงหรือสำริดรวม 32 ตัน
ส่วนคบไฟติดตั้งระบบแสงไฟฟ้าขนาด 13,250 วัตต์
มีบันไดเวียนไปถึงที่เป็นมงกุฎของเทพีรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น
รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 650,000 ดอลลาร์
งบบูรณะครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 1981 เพื่อจัดฉลอง 100 ปีเทพีเสรีภาพ

งบบูรณะในปี 1986 ใช้ไป 86 ล้านดอลลาร์ จากที่ระดมทุนมาได้ 265 ล้านดอลลาร์



อ้างอิง https://paolovely.wordpress.com/เทพีเสรีภาพ.../ประวัติความเป็นมาขององ/

ดอกกุหลาบ

ความหมายของดอกกุหลาบแต่ละสี

"ดอกกุหลาบสีแดง"
ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบ สีแดงอ่อน หรือสีแดงสด บ่งบอกถึงการตกหลุมรักหรือแอบปลื้มใครซักคน เป็นสื่อแทนใจเพื่อจะบอกให้รู้ว่ามีคนกำลัง แอบปลื้มอยู่ ส่วนดอกกุหลาบสีแดงเข้ม ถ้ามีใครให้ดอกกุหลาบสีแดง รู้ไว้เลย นะว่าเค้าคนนั้น มีความรักที่สุดแสน จะลึกซึ้ง  มั่นคง และแน่นนปึก เรียกได้ว่าความรักนั้น ไม่มีวันจืดจางไป จากหัวใจ

"ดอกกุหลาบสีขาว"
เป็นสีแห่งความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์น่าทนุถนอมโดยไม่คิด เลยว่าความรักที่มอบให้ไปนั้น จะได้ความรักตอบกลับมา
หรือเปล่า

"ดอกกุหลาบสีชมพู"
เป็นความโรแมนติกที่แสดงถึงความรักที่หวานซึ้งที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นความรักที่ลึกซึ้ง
แค่เป็นเพียงรักที่ฉาบฉวยต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสวงหาสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเท่านั้นเอง

"ดอกกุหลาบสีส้ม"
สื่อให้เห็นถึงความสดใส ความเป็นตัวของตัวเอง ของผู้รับ เมื่ออยู่ใกล้แล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น และยัง
บ่งบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมาด้วย

"ดอกกุหลาบสีเหลือง"
เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ และยังสื่อถึงความห่วงใยของผู้ให้ด้วย หลายคนเชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่ใช้สำหรับเยี่ยมคนป่วย แต่จริงๆแล้วก็สามารถให้กับเพื่อนๆ เนื่องในโอกาสพิเศษได้เช่นกัน


"ดอกกุหลาบสีฟ้า"
เชื่อว่าเป็นดอกไม้ แห่งความอดทน แข็งแกร่ง ดอกไม้แห่งความฝันที่สวยงาม และมั่นคงตลอดกาล

"ดอกกุหลาบสีม่วง"
บางคนคงคิดว่ามันเป็นดอกกุหลาบที่สื่อถึงความเศร้า นั่นก็เป็นอีกความหมายนึง แต่ถ้ามองในแง่ของความสุข กุหลาบสีม่วงยังสื่อให้เห็นถึงความสำเร็จในชีวิต การงานได้อีกด้วย

"ดอกกุหลาบสีดำ"
ความหมายของกุหลาบดำ แต่อาจจะลืมไปแล้ว จนมาถึงวันนี้ได้รื้อฟื้นความหมายอีกครั้ง หลายคนคงให้สีดำแทนความเสียใจ โศกเศร้า แต่ความหมายของกุหลาบสีดำว่าแท้จริงแล้ว ความหมายที่ลึกล้ำ เจ้ากุหลาบดำ นั่นคือ..นิรันดร์ ดังนั้นดอกกุหลาบดำที่หมายถึงรักนิรันดร์ และมันไม่เคยมีจริง

อ้างอิง https://www.dek-d.com/board/view/1643073/

รักหนึ่งคำจดจำตลอดไป

นาทีสุดท้ายของการพบกัน ใกล้เข้ามา
ไม่ช้าเราคงต้องแยกกันไกล
เหลือช่วงดีดี ให้ซึมซับอีกไม่เท่าไร
ความสุขผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
เพิ่งบอกรักกันวันนั้น จากกันแล้วหรือวันนี้
อยากยืดเวลาออกไป แต่ก็คงไม่มีทาง
ก่อนจะไม่ได้พูดแล้ว แลกคำนี้กันอีกครั้ง
โบกมือลาแล้วกระซิบ คำว่ารักกันค่อยค่อย
เก็บรอยยิ้มฉันไว้ในใจของเธอ
โอบกอดทุกนาทีของเรา
ปล่อยให้รัก ทำงานเบาเบา ในใจฉันและเธอ
ร่ำลาด้วยยิ้มนี้ที่มี เพื่อเริ่มคิดถึงกันเสมอ
เพื่อรอกลับมาพบเจอ พิสูจน์ว่ารักหนึ่งคำ
พอให้จดจำตลอดไป...
ใครว่าห่างไกลนั้นเลวร้าย
มันแค่ท้าทาย ว่าเรามั่นคงแค่ไหนเมื่อห่าง
ถ้าฉันไม่แพ้ และเธอไม่หวั่นระยะทาง
ระหว่างเราคงไม่ชืดจางไป
เพิ่งบอกรักกันวันนั้น จากกันแล้วหรือวันนี้
อยากยืดเวลาออกไป แต่ก็คงไม่มีทาง
ก่อนจะไม่ได้พูดแล้ว แลกคำนี้กันอีกครั้ง
โบกมือลาแล้วกระซิบ คำว่ารักกันค่อยค่อย
เก็บรอยยิ้มฉันไว้ในใจของเธอ
โอบกอดทุกนาทีของเรา
ปล่อยให้รัก ทำงานเบาเบา ในใจฉันและเธอ
ร่ำลาด้วยยิ้มนี้ที่มี เพื่อเริ่มคิดถึงกันเสมอ
เพื่อรอกลับมาพบเจอ พิสูจน์ว่ารักหนึ่งคำ
พอให้จดจำตลอดไป
Oh wo.. na.. na.. hoo…
ฉัน..จะขอรักเธอแม้นานเท่าไหร่
เพราะว่ารักที่เคยให้ไป
หนึ่งคำนี้ช่างมีความหมาย
จดจำไว้ข้างในใจ ตลอดไป...
เก็บรอยยิ้มฉันไว้ในใจของเธอ
โอบกอดทุกนาทีของเรา
ปล่อยให้รัก ทำงานเบาเบา ในใจฉันและเธอ
ร่ำลาด้วยยิ้มนี้ที่มี เพื่อเริ่มคิดถึงกันเสมอ
เพื่อรอกลับมาพบเจอ พิสูจน์ว่ารักหนึ่งคำ
พอให้จดจำตลอดไป


T.S.23






อ้างอิง http://music.sanook.com/music/song/X8w41+Uv1WsgwmakarLunQ==/lyric/

แหลมพรหมเทพ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แหลมพรหมเทพ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แหลมพรหมเทพ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แหลมพรหมเทพ


หากใครไปภูเก็ตแล้วไม่ได้มาชมอาทิตย์ตกที่ แหลมพรหมเทพ ถือว่ามาไม่ถึง แหลมพรหมเทพจัดเป็นหนึ่งในจุดชมอาทิตย์ตกก่อนใครที่สวยที่สุดในเมืองไทย เป็นจุดชมวิวที่สวยงามของภูเก็ตอยู่ห่างจากหาดราไวย์ ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต ชาวบ้านเรียกว่าแหลมเจ้า มีลักษณะเป็นแหลมโค้งไล่ระดับทอดตัวสู่ท้องทะเล รอบข้างแวดล้อมด้วยต้นตาลที่ขึ้นแทรกอยู่เรียงราย สามารถเดินไปจนถึงปลายแหลมได้ มองเห็นน้ำทะเลสีเขียวมรกต และสามารถเห็นเกาะแก้วอยู่ด้านหน้าแหลม ส่วนด้านซ้ายจะมองเห็นหาดในยะซึ่งเป็นหาดเล็กๆ ทางขวาจะเห็นแนวหาดทรายของหาดในหาน

นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเที่ยวหรือพักที่หาดใด พอช่วงใกล้เย็นพากันมาชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ หากมาเที่ยวในวันที่อากาศดี ท้องฟ้าเปิด มีเมฆน้อย บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพจะสวยงามมาก หากมาในฤดูร้อนมีทุ่งหญ้าสีทองขึ้นปกคลุมสวยงามมาก มองเห็นเกาะแก้วน้อย เกาะแก้วใหญ่และเกามัน ส่วน ในฤดูฝนจะเป็น เป็นสีเขียวรอบๆ แหลมพรหมเทพเป็นโขดหินขนาดใหญ่ยามคลื่นลมแรงจะเห็นฟองคลื่นสีขาวกระทบโขดหินซึ่งสวยงามมาก


นอกจากนั้นยังมี ประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพสร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี มีขนาดความกว้างที่ฐาน 9 เมตร สูง 50 ฟุต และแสงไฟจากโคมไฟจะมองเห็นไกลถึง 39 กิโลเมตร ภายในประภาคารมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการสร้างประภาคาร การรักษาเวลามาตรฐาน การคำนวณ และแสดงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตก จากบนยอดของประภาคารยังเป็นจุดชมวิว



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แหลมพรหมเทพ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แหลมพรหมเทพ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แหลมพรหมเทพ


อ้างอิง http://phuketairportthai.com/











ตราด



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ที่มาของ ตราด

ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า เมืองตราดมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร แต่เท่าที่ค้นพบใน สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ปีพ.ศ.1991-2031) ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงเป็น บ้านเมือง ครั้งใหญ่ขึ้น โดยจัดแบ่งการ บริหารราชการแผ่นดิน ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนกลางประกอบไปด้วย ฝ่ายทหาร และ พลเรือน ส่วนภูมิภาคแบ่งเมืองต่างๆ ออกเป็น หัวเมืองเอก หัวเมืองโทหัวเมืองตรี และหัวเมืองจัตวางตามลำดับอย่างไร ก็ตามในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ไม่ปรากฏชื่อของเมืองตราด แต่อย่างใดเพียงแต่บอกว่า"หัวเมืองชายทะเลหรือ บรรดาหัวเมืองชายทะเล" เท่านั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ปรากฏว่า บรรดาหัวเมืองชายทะเลแถบตะวันออกนั้นเรียกแต่เพียงว่า"บ้านบางพระ" ในตอนปลายของกรุงศรีอยุธยา ได้ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่าบรรดาเสนาบดีจัตุสดมภ์ทั้งหลาย ได้พากันแบ่งหัวเมือง ต่างๆ ให้ไปขึ้นกับสมุหนายก สมุหพระกลาโหมและโกษาธิบดี ทำการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศ ทางทะเล หลักฐานอีกทางหนึ่งเชื่อว่าคำว่า"ตราด" นี้อาจจะมีชื่อเรียกเพี้ยนมาจาก "กราด" อันเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งสำหรับใช้ทำไม้กวาด ซึ่งในสมัยก่อน ต้นไม้ชนิดนี้มักจะมีมากทั่วเมืองตราดจากหลักฐานต่างๆดังกล่าวมาแล้วนี่ เองจึงทำให้ชื่อว่า "เมืองตราด" เป็นเมืองที่มีชื่อเรียกกันมาอย่างนี้กว่า 300 ปีมาแล้ว และ เป็นเมืองสำคัญซึ่งขึ้นอยู่กับฝ่ายการคลังของประเทศมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองแล้ว จนกระทั่งก่อนจะเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากสินได้รวบรวมกำลังทหาร จำนวนหนึ่ง ตีฝ่าวงล้อม ของพม่าหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา เดินทางไปรวมตัวกัน ทางทิศตะวันออก โดยยกทัพไปถึงเมืองตราดซึ่งปรากฏในพงศาวดารว่า" ...หลังจากพระเจ้าตากสิน ตีเมือง จันทบุรีได้แล้ว เมื่อวันอาทิตย์เดือน7ปีกุนพ.ศ.2310ก็ได้เกลี้ยกล่อม ผู้คนให้กลับ คืน มายังภูมิลำเนาเดิม... "ครั้นเห็นว่าเมืองจันทบุรีเรียบร้อยอย่างเดิมแล้ว จึงยกกองทัพเรือ ไปยังเมืองตราด พวกกรมการและราษฎรก็พากันเกรงกลัวยอมอ่อนน้อม โดยดี ทั่วทั้งเมือง และขณะนั้นมีสำเภาจีน มาทอดอยู่ที่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำ พระเจ้าตากให้ไปเรียกนาย เรือมาเฝ้าพวกจีนขัดขืน แล้วกลับยิงเอาข้าหลวง พระเจ้าตากทรงทราบก็ลงเรือที่นั่งคุม เรือรบลงไปล้อมสำเภาไว้แล้ว บอกให้ พวกจีนอ่อนน้อมโดยดีพวกจีนก็หาฟังไม่กลับเอาปืน ใหญ่น้อยระดมยิงรบกันอยู่ครึ่งวัน พระเจ้าตากก็ตีได้เรือสำเภาจีนทั้งหมด ได้ทรัพย์สิ่งของ เป็นกำลังการทัพเป็นอันมาก พระเจ้าตาก จัดการเมืองตราดเรียบร้อยแล้ว ก็กลับขึ้นมาตั้ง อยู่ ณ เมืองจันทบุรี" เหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับเมืองตราด ก็คือ เมื่อปี พ.ศ.2446 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยได้เสียดินแดน ให้แก่ประเทศฝรั่งเศส เนื่องมาจากการตกลงทำสนธิสัญญา กับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446 (ร.ศ.122) ซึ่งทำให้ไทยจำต้องยกดินแดนจังหวัดตราด และ เกาะต่างๆ ตั้งแต่อำเภอแหลมสิงห์ จ.จันทบุรีไปจนถึงเกาะกูด และเมืองปัจจันตคีรีเขตร หรือ เกาะกง ให้แก่ฝรั่งเศสเพื่อแลกเปลี่ยนให้ฝรั่งเศสถอนกองทหารไปจากจันทบุรี โดยสัญญาฉบับนี้ ได้ ให้สัตยาบันต่อกันและมีผลทำให้กองทหารฝรั่งเศส ถอนออกไปจากเมืองจันทบุรีตามสัญญา เมื่อ 12 มกราคม พ.ศ.2447



อ้างอิง http://www.dopatrat.go.th/

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

โดเรม่อน

โดราเอมอน หรือ โดเรมอน เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคต ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 22เกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2655 (ค.ศ. 2112)
ลักษณะตัวอ้วนกลมสีฟ้า (เมื่อแรกเกิดมามีสีเหลือง) ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูแทะ มีหน้าที่เป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงซึ่งคนที่ซื้อโดราเอมอนมาคือเซวาชิเหลนชายของโนบิตะ
วันหนึ่งเซวาชิเกิดอยากรู้สาเหตุที่ฐานะทางบ้านยากจน จึงได้กลับไปในอดีตด้วยไทม์แมชชีน จึงได้รู้ว่าโนบิตะ (ผู้เป็นปู่ทวด) เป็นตัวต้นเหตุ เซวาชิจึงได้ตัดสินใจให้โดราเอมอนย้อนเวลาไปคอยช่วยเหลือดูแลเวลาโนบิตะโดนแกล้งโดยใช้ของวิเศษที่หยิบจากกระเป๋าสี่มิติ
โดราเอมอนถูกผลิตขึ้นในโรงงานสร้างหุ่นยนต์ที่เมืองโตเกียว เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2112 (พ.ศ. 2655) แต่ในระหว่างการผลิตเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ทำให้โดราเอมอน
มีคุณสมบัติไม่เหมือนหุ่นยนต์แมวตัวอื่น ต้องเข้ารับการอบรมในห้องเรียนคลาสพิเศษของโรงเรียนหุ่นยนต์ (และได้พบกับเพื่อนๆ แก๊ง ขบวนการโดราเอมอน ที่นั่น)
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในงาน "โรบ็อต ออดิชัน" ซึ่งเป็นงานที่จัดให้มีการแสดงความสามารถของหุ่นยนต์ที่ได้ผ่านการอบรมแล้ว ด้วยความซุกซนของเซวาชิในวัยเด็ก
เขาจึงได้กดปุ่มเลือกซื้อโดราเอมอนมาไว้ที่บ้าน ด้วยเหตุนี้ โดราเอมอนจึงได้มาอยู่อาศัยที่บ้านของเซวาชิ ในฐานะของหุ่นยนต์เลี้ยงเด็ก (จากตอนพิเศษ "กำเนิดโดราเอมอน ปี 2112")
แต่ในต้นฉบับดั้งเดิมนั้นจะแตกต่างกัน คือ โดราเอมอนได้ถูกนำไปขายทอดตลาด เพราะเป็นสินค้าไม่ได้คุณภาพ จากนั้นพ่อแม่ของเซวาชิจึงมาซื้อโดราเอมอนไปไว้ที่บ้าน
แต่เดิมนั้นตัวโดราเอมอนมีสีเหลือง และมีหู แต่แล้วในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2122 ขณะที่โดราเอมอนหลับอยู่นั้น ใบหูก็โดนหนูแทะจนแหว่งไปทั้ง 2 ข้าง
และไม่สามารถซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้ หลังจากรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หุ่นยนต์แมว "โนราเมียโกะ" แฟนสาวของโดราเอมอนก็มาเยี่ยม แต่พอทราบว่าโดราเอมอนไม่มีหู
เหลือแต่หัวกลม ๆ โนราเมียโกะถึงกับหัวเราะเป็นการใหญ่ ทำให้โดราเอมอนเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามทำใจด้วยการดื่มยาเสริมกำลังใจ แต่ว่าโดราเอมอนหยิบผิดกินยาโศกเศร้าแทน
ทำให้โศกเศร้ากว่าเดิม และเริ่มร้องไห้ไม่หยุด จนสีลอกเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอย่าที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน หลังจากนั้นโดราเอมอนจึงเกลียด และกลัวหนูเป็นอย่างมาก และไม่ค่อยมีความมั่นใจ
ในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องความรัก

นอกจากนั้น โดราเอมอนยังมีน้องสาวชื่อโดรามี ที่จริงก็แค่ใช้เศษเหล็กแบบเดียวกันในการผลิต แต่โดเรมีใช้น้ำมันรุ่นใหม่ ขณะที่ผลิตโดราเอมอนอยู่ได้ทำชิปหล่นหายไป 1 ส่วนจึงทำให้หยิบของวิเศษผิดพลาดบ่อยๆ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติ โดราเอม่อน

เป็นความตั้งใจของผู้วาดการ์ตูนที่ใช้ตัวเลข 3-9-12 กับตัวละครนี้ โดราเอมอนจึงมีอะไรหลายอย่างกี่ยวกับตัวเลขชุดนี้

มีน้ำหนัก 129.3 กิโลกรัม
ความสูง 129.3 เซนติเมตร (แต่เวลานั่ง จะเหลือ 100 เซนติเมตร)
กระโดดได้สูง 129.3 เซนติเมตร (เวลาเจอหนู)
มีพละกำลัง 129.3 แรงม้า
วัดรอบหัว รอบอก รอบเอวได้ 129.3 เซนติเมตร
วิ่งปกติในระยะ 50 เมตรใช้เวลา 15 วินาที แต่ถ้าเจอหนูจะวิ่งได้เร็วถึง 129.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วันที่ผลิตคือ ปีที่ 12 เดือน 9 วันที่ 3 (เรียงแบบปฎิทินญี่ปุ่น)



อ้างอิง http://unigang.com/Article/6834