เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่าง
ๆ โดยเนื้อความเป็นไปในลักษณะเดียวกันว่า
พันท้ายนรสิงห์และพระเจ้าเสือพบกันเป็นครั้งแรก เมื่อพระเจ้าเสือเสด็จฯ
ไปยังตำบลบ้านตลาดกรวด อันเป็นตำบลบ้านหนึ่งของแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ
ซึ่งครั้งนั้นพระเจ้าเสือได้ขึ้นชกมวยคาดเชือกกับพันท้ายนรสิงห์ ปรากฏว่า
ผลการชกออกมาเสมอกัน และด้วยความที่พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจในตัวพันท้ายนรสิงห์
จึงโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการเป็นพันท้ายนรสิงห์
ตำแหน่งนายท้ายเรือพระที่นั่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป
ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงของพันท้ายนรสิงห์กลายเป็นที่ยกย่องด้านความซื่อสัตย์นั้น
มาจากเหตุการณ์ใน พ.ศ. 2246-2252 ครั้งที่สมเด็จพระเจ้าเสือ
เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกไชย จะไปประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี
ขณะเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขาม ซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยว และมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก
พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน
ทำให้หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ ซึ่งพันท้ายนรสิงห์รู้ว่า
ความผิดครั้งนี้มีโทษถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี ที่กำหนดว่า "ถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก
ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย"
พันท้ายนรสิงห์จึงกราบบังคมทูลพระเจ้าเสือให้ประหารชีวิตตามกฎมณเฑียรบาล
แต่พระเจ้าเสือทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท
จึงพระราชทานอภัยโทษให้ ซึ่งพันท้ายนรสิงห์ก็ยังยืนยันขอให้ตัดศีรษะตน
เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย
เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่า
ทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดิน และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
พระเจ้าเสือ จึงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์
แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน
แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน
แม้พระเจ้าเสือจะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใด
ก็ทรงจำฝืนพระทัยปฏิบัติตามพระราชกำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์
แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น
ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาลพันท้ายนรสิงห์
(ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในจังหวัดสมุทรสาคร)
เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิมซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง
ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี
ต่อมา พระเจ้าเสือ พระราชดำริว่า
คลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ
บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง
เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น
"คลองมหาชัย" แต่ชาวบ้านเรียกว่า "คลองถ่าน" ปัจจุบันชาวบ้านฝั่งธนบุรี
เรียกชื่อว่า "คลองด่าน"
และด้วยคุณงามความดีของพันท้ายนรสิงห์ที่ถูกบอกเล่าต่อ ๆ
กันมาจนถึงปัจจุบัน
ก็ทำให้พันท้ายนรสิงห์กลายเป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก
ในด้านความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ที่มีต่อกฎหมายบ้านเมือง ยอมตายเพื่อมิให้กฎหมายบ้านเมืองคลายความศักดิ์สิทธิ์
ดังคำที่ว่า "ตายในหน้าที่ ดีกว่าอยู่ให้อับอาย"
อ้างอิง : http://hilight.kapook.com/view/138443